ได้แก่ ตา สำหรับการเห็น จมูก สำหรับรับกลิ่น ลิ้น สำหรับรับรส หู สำหรับการฟังและผิวหนัง รับความรู้สึก ทั่วไป ได้แก่ เจ็บ สัมผัส กด ร้อน เย็น
เป็นอวัยวะสำหรับการเห็นภาพ แสง สีประกอบด้วย ลูกตา (eye ball) และหนังตา เยื่อบุตา และอวัยวะสำหรับการหลั่งน้ำตา
เป็นรูปกลม อยู่ในส่วนหน้าของเบ้าตาแต่ไม่กลมทีเดียววัดจากหน้าไปหลังวัดตามขวางและวัดตามสูงได้เกือบเท่ากันยาวประมาณ ๒.๕ เซนติเมตร ปริมาตรประมาณ ๘ มิลลิลิตร หญิงมีลูกตาใหญ่กว่าชายเมื่อเทียบกับน้ำหนักตัวหรือเทียบกับขนาดของเบ้าตาลูกตาของทารกก็ใหญ่กว่าผู้ใหญ่เมื่อเทียบกับขนาดของเบ้าตา
ผนังของลูกตาประกอบด้วยผนังโดยรอบ ๓ ชั้น คือ ชั้นนอก (fibrous coat) เป็นพังผืดแข็ง ชั้นกลาง (vascular coat) เป็นชั้นหลอดเลือดขนาดเล็กปะปนกับเซลล์สี (pigmented cells) บางส่วนเป็นกล้ามเนื้อเรียบ และชั้นในเป็นชั้นประสาท
ชั้นนอก แบ่งได้เป็นส่วนทึบแสงทางข้างหลัง เรียกว่า สเคลอรา (sclera) กับส่วนที่โปร่งแสงทางข้างหน้า เรียกว่า คอร์เนีย (cornea)
สเคลอรา มีประมาณ ๕ ใน ๖ ของลูกตา มีสีขาว แข็ง และมีสีน้ำเงินอ่อนในทารกแต่ในผู้ใหญ่และคนชราจะมีสีเหลืองหนาประมาณ ๐.๕–๐.๖ มิลลิเมตร ชาวบ้านเรียกว่าส่วนตาขาว
คอร์เนีย มีประมาณ ๑ ใน ๖ ของลูกตา เป็นส่วนใส หนากว่าสเคลอราเล็กน้อย และโค้งมากกว่าสเคลอรา ในคนหนุ่มสาว ส่วนนี้จะโค้งมากกว่าในคนชราถ้าความโค้งผิดปกติ หรือไม่เท่ากันจะทำให้มองเห็นไม่ชัด เรียกว่า สายตาเอียง
คอร์เนียต่อกับสเคลอราตรงรอยต่อที่เห็นได้จากภายนอกตรงขอบตาดำต่อกับตาขาว
ชั้นกลางเป็นชั้นที่ประกอบด้วยหลอดเลือดขนาดเล็กหลอดเลือดฝอยและมีเซลล์ที่มีสีทำให้เกิดเป็นชั้นสีดำทางส่วนหลังแนบชิดกับด้านในของสแคลอรา เรียกว่า คอรอยด์ (choroid) ทางส่วนหน้าใกล้กับรอยต่อของคอร์เนีย และ สเคลอราจะดัดแปลงเป็นซิลิอารีบอดี (ciliary body) และ ม่านตา (Iris)
ซิลิอารีบอดี แบ่งได้เป็น ๓ เขต คือ เขต ๑ เป็นเขต เรียบกว้างประมาณ ๔ มิลลิเมตร ต่อจากคอรอยด์ เขต ๒ เป็น เขตที่มีสันนูนชัดเจน เรียงเป็นรัศมีโดยรอบขอบของม่านตา กว้าง ๒ มิลลิเมตร อยู่ระหว่าง เขต ๑ กับขอบของม่านตา เขต ๓ ประกอบด้วยกล้ามเนื้อเรียงตัวโดยรอบ และเป็นรัศมี เมื่อกล้ามเนื้อนี้หดตัวจะทำให้เอ็นยึดเลนส์ และเลนส์ของลูกตา หย่อน จึงเกี่ยวกับการเพ่งให้เห็นชัด
ม่านตา เป็นเยื่ออยู่หน้าเลนส์ ตรงกลางมีรูกลม เรียกว่า รูม่านตา (pupil)
ม่านตาหนาเกือบเท่ากันตลอดขอบนอกของม่านตาติดต่อกับซิลิอารีบอดี สีของตาจึงขึ้นอยู่จำนวนเม็ดสีภายในม่านตาในชนเชื้อชาติยุโรปมีเม็ดสีในม่านตาน้อยหรือไม่มีเม็ดสีเลย ตาจึงมีสีฟ้าหรือเทาในชนเชื้อชาติเอเชียมีเม็ดสีในม่านตามากตาจึงมีสีดำ
ภายในม่านตา มีกล้ามเนื้อเรียบ ควบคุมให้รูม่านตาแคบลงหรือกว้างขึ้นได้ในขณะที่ตื่นอยู่จะมีการเปลี่ยนแปลงขนาดของรูม่านตาตลอดเวลาเพื่อควบคุมจำนวนแสงที่เข้าสู่ลูกตา
ชั้นในเป็นชั้นประสาทเรียกว่าเรตินาประกอบเป็นชั้นบางและนุ่มประกอบด้วยเซลล์ประสาทเส้นใยประสาทและเซลล์รับแสง (rod and cone cells) เส้นใยประสาทจากชั้นนี้จะออกทางปลายหลังของลูกตาไปสู่สมองเพื่อแปลเป็นภาพแสงและสีต่าง ๆ
ชั้นประสาทของลูกตานี้โปร่งแสงตลอดชีวิตมีสีม่วงอ่อนแต่ภายหลังตายไม่นานก็จะทึบแสงและมีสีเทา
คลื่นแสงที่จะผ่านไปถึงเรตินาต้องผ่านสิ่งต่าง ๆ ที่มีความหนาแน่นแตกต่างกัน เช่น คอร์เนีย สารน้ำ (aqueous humour) เลนส์ และสารวุ้น (vitous body) เหล่านี้ประกอบเป็น ตัวกลางหักเหแสง (refracting media) ของลูกตา และอยู่ภายในลูกตา
สารน้ำ มีดัชนีหักเห ๑.๓๓๖ ประกอบด้วยน้ำ ๙๘% โซเดียมคลอไรด์ ๑.๔๑% และ อัลบูมิน (albumin) เล็กน้อย อยู่ระหว่างคอร์เนีย กับ เลนส์
เลนส์ อยู่หลังม่านตา มีรูปร่างคล้ายกระจก กลมนูน โค้ง ใส โปร่งแสง ตรงกลางหนาประมาณ ๔ มิลลิเมตร เส้นผ่าน ศูนย์กลางประมาณ ๙-๑๐ มิลลิเมตร ทางด้านหลังโค้งมาก กว่าด้านหน้า ความโค้งของเลนส์โดยเฉพาะทางด้านหน้าจะ เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในขณะมีชีวิต เพื่อควบคุมให้ภาพตกลง บนเรตินา สำหรับการมองให้เห็นชัด
ในทารก เลนส์จะนุ่มและมีสีชมพูอ่อน ในคนชราจะมี ลักษณะแข็งขึ้นแบนขึ้น และมีสีเหลืองอ่อนจึงทำให้การมอง เห็นชัดค่อย ๆ ลดสมรรถภาพลงเรื่อยไปตามอายุ เรียกว่า สายตายาว (presbyopia) บางทีเลนส์ในคนชราขุ่นและทึบแสง เรียกว่า ต้อกระจก (cataract)
สารวุ้น เป็นของเหลวเหนียวใสโปร่งแสงอยู่ในลูกตาระหว่างเลนส์ กับ เรตินา
มีเปลือกตาบนและล่างเคลื่อนไหวได้อยู่หน้าลูกตาหนังตาบนใหญ่กว่าและเคลื่อนไหวได้มากกว่าโดยการดึงของกล้ามเนื้อดึงหนังตาบน
ช่องระหว่างหนังตาวัดตามขวางประมาณ ๓๐ มิลลิเมตร แต่ก็แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลและแต่ละเชื้อชาติเมื่อลืมตาช่องระหว่างหนังตาเป็นรูปรีเมื่อหลับตาในขณะนอนหลับมันเป็นเพียงร่องตามขวางปลายทั้งสองของเปลือกตาบนและล่างมาจดกัน เรียกว่า มุมหัวตาและมุมหางตา
ขอบของเปลือกตา แบน เรียบ และที่ขอบหน้ามีขนตา งอกออกมา และหลังขนตามีรูเปิดของต่อมเปลือกตา (tarsal gland) เรียงเป็นแถว ประมาณ ๖ มิลลิเมตร จากมุมหัวตาของ เปลือกตา มีรอยนูนเป็นปุ่ม เรียกว่า ปุ่มน้ำตา และที่ยอดของ ปุ่มนี้มีรูเปิดเล็ก ๆ ของท่อน้ำตาจากปุ่มนี้ถึงมุมหัวตา ขอบเปลือกตา จะกลมแบน และไม่มีขนตา
ภายในแต่ละเปลือกตา มีแผ่นเนื้อเยื่อพังผืดค่อนข้างแข็ง เรียกว่า แผ่นเปลือกตา (tarsal plate) แผ่นเปลือกตาอันบน ใหญ่กว่า คล้ายครึ่งรูปไข่ ซึ่งขอบล่างหนาและตรง แต่ขอบบน โค้ง แผ่นเปลือกตาอันล่าง มีลักษณะเป็นแถบแคบ ๆ กว้างเท่ากัน โดยตลอด ประมาณ ๕ มิลลิเมตร ภายในแผ่นเปลือกตานี้มีต่อม เปลือกตาเรียงเป็นแถวประมาณ ๒๐–๓๐ ต่อม ซึ่งมีรูเปิดอยู่ หลังต่อมขนตา
หน้าแผ่นเปลือกตา เป็นกล้ามเนื้อลายบางๆ เพื่อใช้ใน การหลับตา และมีผิวหนังคลุมกล้ามเนื้ออีกชั้นหนึ่ง ผิวหนังของ เปลือกตาค่อนข้างบาง และเยื่อใต้หนังค่อนข้างหลวม และ ไม่มีไขมัน
เยื่อบุตา
เป็นเยื่อบุบางๆ บุด้านลึกของเปลือกตา และติดกันแน่น และยังคลุมด้านหน้าของลูกตาส่วนสเคลอราด้วยอย่างหลวมๆ รอยพับระหว่างเยื่อบุตาของเปลือกตา และของด้านหน้าลูกตา เรียกว่า ฟอร์นิกซ์ (fornix)
อวัยวะสำหรับหลั่งน้ำตา
ได้
ต่อม
ขนาด
หลอด
เป็น
ถุง
อยู่
เป็นอวัยวะสำหรับการฟัง และการทรงตัว หูประกอบ ด้วย ๓ ส่วน คือ หูส่วนนอก หูส่วนกลาง และหูส่วนใน
หูส่วนนอก
ประกอบด้วยใบหู และรูหู
ใบหู ยื่นเป็นมุมประมาณ ๓๐ องศา จากด้านข้างของศีรษะ แกนกลางของใบหูเป็นกระดูกอ่อนชนิดยืดหยุ่นได้ (elastic) ชิ้นเดียว หุ้มด้วยผิวหนังทั้งสองด้าน ยกเว้นติ่งหู ไม่มีกระดูกอ่อน มีแต่เยื่อพังผืด และไขมันหลวมๆ กระดูกอ่อนนี้ ไม่เรียบ แต่มีส่วนนูนยื่นขึ้นมา และระหว่างส่วนที่นูนก็เป็นแอ่ง ใบหูจึงไม่เรียบทั้งสองด้าน
รูหู เป็นช่องทางติดต่อระหว่างแอ่งลึกสุดของใบหู ไปจนถึงเยื่อแก้วหูลึกประมาณ ๒๔ มิลลิเมตร ประกอบด้วย ๒ ส่วนคือ รูหูส่วนกระดูกอ่อน ยาว ๘ มิลลิเมตร เป็นส่วนที่ต่อจากกระดูกอ่อนของใบหู และรูหูส่วนกระดูกยาว ๑๖ มิลลิเมตร เป็นส่วนที่มีผนังเป็นกระดูก ติดต่อลึกเข้าไปจากส่วนกระดูกอ่อน
รูหูทั้งหมดไม่เป็นช่องตรงทีเดียว แต่จะโค้งเล็กน้อย รูหูจะคอดเป็นบางแห่ง เช่น ที่รอยต่อระหว่างส่วนกระดูกและ ส่วนกระดูกอ่อน และที่ส่วนกระดูกห่างจากเยื่อแก้วหู ๒-๓ มิลลิเมตร
รูหู จะบุด้วยผิวหนัง ที่ส่วนกระดูกอ่อน ผิวหนังค่อน ข้างหนา และมีขน และยังมีต่อมขี้หูด้วย
เยื่อ
รูป
หูส่วนกลาง
เป็นโพรงอากาศเล็กๆ ในกระดูก อยู่ระหว่างเยื่อแก้วหูกับหูส่วนใน ภายในโพรงนี้มีกระดูกหูเล็กๆ ๓ ชิ้น คือ กระดูกค้อน กระดูกทั่ง และกระดูกโกลน ซึ่งต่อกันจากเยื่อแก้วหูไปยังผนังใกล้ริมของหูส่วนใน เพื่อนำคลื่นเสียงที่มากระทบเยื่อแก้วหูไปยังหูส่วนในได้ หูส่วนกลางยาวและสูงประมาณ ๑๕ มิลลิเมตร แต่กว้างเพียง ๖ มิลลิเมตรที่ส่วนบน ๔ มิลลิเมตรที่ส่วนล่าง และ ๑.๕-๒.๐ มิลลิเมตรที่ส่วนกลาง โพรงอากาศของหูส่วนกลางยังมีท่อทางข้างหน้า ไปติดต่อกับคอหอยส่วนจมูก (nasopharynx) และมีท่อทางข้างหลัง ไปติดต่อกับโพรงอากาศ ในปุ่มกระดูกหลังใบหูด้วย
หูส่วนใน
เป็นช่องที่มีสารน้ำอยู่ค่อนข้างสลับซับซ้อนอยู่ภายใน กระดูกที่เรียกว่า โบนีลาบีรินธ์ (bony labyrinth) และภายในโบนีลาบีรินธ์ ยังมีท่อหรือถุงซึ่งมีผนังบางๆ อยู่อีกชั้นหนึ่ง เรียกว่า เมมเบรนัสลาบีรินธ์ (membranous labyrinth)
โบนี
เว
ช่อง
ช่อง
เมมเบรนั
ยู
แซค
ท่อ
ท่อ
ภาย
ภาย
เมื่อ
จมูกเป็นส่วนบนสุดของระบบทางเดินอากาศหายใจ และยังมีประสาทสำหรับรับกลิ่นด้วย จมูกประกอบด้วย จมูกส่วนนอก และโพรงจมูก ซึ่งแบ่งเป็นซ้ายและขวา โดยมีผนังกั้นกลาง
จมูกส่วนนอก
มีสันจมูก ซึ่งยื่นจากหน้าผากระหว่างตาทั้งสองไปยังปลายจมูก ดั้งจมูกเป็นส่วนที่ต่อกับหน้าผาก ด้านล่างของจมูก ส่วนนอกมีรูจมูก ซึ่งคนเชื้อชาติผิวขาวมีรูจมูกรูปรี คนเชื้อชาติผิวเหลืองรูจมูกจะค่อนข้างกลม รูจมูกทั้งสองแยกกันโดยแผ่นกั้นกลาง และสองข้างของรูจมูกโป่งคล้ายปีก เรียกว่า ปีกจมูก
ส่วนบนของจมูกส่วนที่เป็นกระดูก จึงแข็งและอยู่กับที่ คลุมด้วยผิวหนัง ส่วนล่างมีแกนภายในเป็นกระดูกอ่อน คลุมด้วย ผิวหนังซึ่งติดแน่นและมีต่อมไขมันมาก จึงเป็นส่วนที่จับ โยกไปมาได้
นับ
ด้าน
พื้น
เยื่อ
เยื่อ
กระดูก